กลไกการป้องกัน และ การตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายถูกรุกรานจากสิ่งแปลกปลอมภายนอก ได้แก่เชื้อจุลชีพ ประเภท แบคทีเรีย รา ไวรัส และปรสิต ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในบรรยากาศและตามพื้นผิวของร่างกาย เช่น ที่ผิวหนัง ช่องปากและภายในลำไส้ นอกจากเชื้อจุลชีพแล้ว สิ่งแปลกปลอมยังอาจอยู่ในจำพวกสารเคมี ซึ่งอาจพบในธรรมชาติ เช่น พืช อาหาร หรือเป็นสารเคมีที่มนุษย์ผลิตขึ้น ตลอดจน ฝุ่นละออง ขนสัตว์ ละอองเกสรดอกไม้ต่างๆ หากเราจะอยู่ได้อย่างมีความสุข ในสิ่งแวดล้อม ที่ประกอบด้วยสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ เราจำเป็น ที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกัน ที่มีประสิทธิภาพเพื่อตรวจตรา ค้นหา ทำลาย และกำจัดสิ่งแปลกปลอม เหล่านี้ ให้หมดไปจากร่างกาย หากในกรณีที่การทำงาน ของระบบภูมิคุ้มกัน ประสบความล้มเหลว ร่างกายก็จะถูกคุกคามด้วยโรคภัยไข้เจ็บ โรคภูมิแพ้ โรคมะเร็ง โรคไขข้ออักเสบ และอื่นๆ
การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกจะมีความซับซ้อนต่างกัน พบว่า การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในคนและในสัตว์มีกระดูกสันหลังจะได้รับการพัฒนาให้สามารถต่อต้านกับสิ่งแปลกปลอมได้อย่างจำเพาะ (Specific immunity)
นอกเหนือจากภูมิคุ้มกันธรรมชาติที่ต่อต้านสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จำเพาะ
(Non-specific immunity)
ตัวอย่างของการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะ (non-specific immunity) | |
เครื่องกีดขวางทางกายภาพ (physical barriers) | - ผิวหนัง กั้นเชื้อจุลชีพให้อยู่ด้านนอก การหลุดลอกของผิวหนังช่วยกำจัดเชื้อที่ติดอยู่ภายนอกออกไป - เยื่อบุผิว เช่น เยื่อบุในโพรงจมูก หลอดลม มีเมือกช่วยดักจับเชื้อจุลชีพ แล้วใช้ขนเล็กๆ (cilia) กวาดลำเลียงขึ้นไปข้างบน เกิดอาการไอจาม หรือขับออกไปเป็นเสมหะ - กระแสการไหลของน้ำปัสสาวะจะกวาดล้างเชื้อโรคออกไปได้ |
เซลล์เม็ดเลือดขาวตัวกินมืออาชีพ (professional phagocytes) | ได้แก่ เซลล์โพลีมอร์โฟนิวเคลียร์ เซลล์โมโนซุยต์ และ natural killer cells (NK cells) เซลล์ชนิดโพลีมอร์โฟนิวเคลียร์ จะสามารถจับกินและย่อยสลายเชื้อจุลชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเซลล์และเชื่อจุลชีพตายไปจะกลายเป็นหนอง |
คุณสมบัติของสารเคมี | - สารที่ขับออกมาจากต่อมไขมันที่ผิวหนังจะเป็นกรดอ่อนๆ (lactic acid, caproic acid, caprylic acid) ออกฤทธิ์ต่อต้านแบคทีเรียได้ - ความเป็นกรดในช่องคลอด ทำให้ไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของเชื้อจุลชีพที่ก่อโรค แต่เหมาะกับจุลชีพที่มีประโยชน์ - ความเป็นกรด - ด่าง ของช่องปาก และกระเพาะอาหาร กล่าวคือ น้ำลายมีฤทธิ์เป็นด่าง และกรดในกระเพาะอาหาร จะช่วยกรองเชื้อจุลชีพได้ส่วนหนึ่ง - เชื้อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่กับร่างกายตามปกติซึ่งไม่ก่อโรค (normal flora) ช่วยควบคุมปริมาณซึ่งกันและกันไม่ให้มีการเจริญของเชื้อชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป |
สารคัดหลั่งจากเซลล์ร่างกาย (cytokines) | เป็นกลุ่มของสารโปรตีนที่หลั่งออกมาจากเซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์ร่างกาย เพื่อส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ให้ทำงานประสานกันอย่างสอดคล้อง และเรียกระดมเซลล์เม็ดเลือดขาวให้เข้ามาสู่เนื้อเยื่อที่ถูกจู่โจมมากขึ้น |
ระบบคอมพรีเมนต์ (complement) | เป็นกลุ่มของสารโปรตีนในน้ำเลือดมากกว่า 20 ชนิด สร้างจากตับ มีการทำงานเป็นเครือข่ายที่สลับซับซ้อนมาก ช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ และตัวมันเองมีผลทำให้เซลล์ตาย แตกสลายได้ |
การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ(Specific immunity)
เป็นระบบการป้องกันร่างกายที่สลับซับซ้อน เกิดจากการทำงานของเซลล์ลิมโฟซัยต์ที่ได้รับการพัฒนาและคัดเลือกสายพันธุ์มาเป็นอย่างดีตั้งแต่ยังเป็นทารกและเด็กเล็ก เซลล์เหล่านี้จะทำงานประสานกันอย่างเป็นจังหวะและต่อเนื่อง มีอำนาจทำลายล้างสิ่งแปลกปลอมสูง
Cardinal Features of Immune Response |
1. Specific 2. Memory 3. Discrimination self and non-self |
หัวใจของการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันชนิดนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 ประการคือ
1. ต้องมีความจำเพาะ (specific) ต่อเชื้อจุลชีพหรือสิ่งแปลกปลอม ทำให้จู่โจมและทำลายเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ
2. ต้องจดจำเชื้อจุลชีพหรือสิ่งแปลกปลอมนั้นๆได้ (memory) เพื่อเพิ่มอำนาจในการจู่โจมและกวาดล้าง หากถูกรุกรานซ้ำ จุดเด่นของคุณสมบัติข้อนี้ เรานำมาใช้ในการผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อในมนุษย์
3. ต้องแยกแยะได้ระบบภูมิคุ้มกันที่ดีต้องสามารถแยกแยะแอนติเจนร่างกาย (self antigens) ออกจากแอนติเจนแปลกปลอม (non-self หรือ foreign antigens) ได้เป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้แอนติเจนร่างกายถูกลูกหลงขณะที่ระบบภูมิคุ้มกันกำลังเข้าจู่โจมแอนติเจนแปลกปลอม
ประเภทของการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ
การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1. การตอบสนองแบบอิมมูนพึ่งเซลล์ (cell mediated immune response หรือ CMIR) เป็นการตอบสนองที่อาศัยการทำงานของ T-cells เป็นหลัก
2. การตอบสนองโดยอาศัยแอนติบอดี (humeral immune response หรือ HIR) เป็นการตอบสนองที่ต้องอาศัยการทำงานของ B-cells เป็นหลัก
การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ |
1. CMIR : T-cells (CD4+, CD8+) 2. HIR : B-cells – antibody production |
การควบคุมการตอบสนองทางระบบภูมิคุ้มกัน(Immune regulation)
การควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต้องเป็นไปอย่างเหมาะสมเพื่อให้เกิดสมดุลในการทำงานโดยไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของเซลล์ร่างกาย จึงต้องประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. ต้องไม่คุกคามเซลล์หรือเนื้อเยื่อร่างกายตนเอง คุณสมบัตินี้เรียกว่า self tolerance
2. การตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมจะต้องเกิดในจังหวะที่พอดีและเกิดในตำแหน่งที่เหมาะสม
3. ต้องจัดสรรให้มีหน่วยกำกับหรือปราบปรามระบบภูมิคุ้มกันไม่ให้เกิดการตอบสนองที่รุนแรงเกินไปจนกระทั่งเป็นภัยต่อเซลล์หรือเนื้อเยื่อปกติของร่างกาย (hypersensitivity potential) และต้องควบคุมไม่ให้เกิดการตอบสนองที่ยืดเยื้อนานเกินไปจนอาจส่งผลกระทบต่อเซลล์ปกติของร่างกายได้ (autoimmune potential)
ความผิดปกติในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
กลไกในการเกิดความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันมีได้ 3 แบบคือ
1. การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง (immune deficiency) ซึ่งอาจเป็นมาแต่กำเนิด (เช่นโรค hypogammaglobulinemia ในเด็ก) หรือเกิดขึ้นในระยะหลัง (acquired) จากการติดเชื้อไวรัสบางชนิด (เช่นไวรัสเอดส์) ได้รับยากดมิคุ้มกัน (เช่น เคมีบำบัดที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง ยาในกลุ่มสเตียรอยด์) สัมผัสกับสารกัมมันตภาพรังสีเป็นบริเวณกว้างจนเกิดการทำลายไขกระดูก (เช่น ได้รับรังสีรักษา สัมผัสกับกากสารกัมมันตภาพรังสี หรือระเบิดนิวเคลียร์) ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดตัดม้ามออก (เช่น ม้ามแตกจากอุบัติเหตุ โรคธาลัสซีเมียรุนแรงที่มีม้ามโตมากๆ) ผู้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ไตวาย ตับแข็ง เป็นโรคขาดอาหารรุนแรง) หรือผู้สูงอายุมากๆ (extreme age)
2. ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานมากเกินไป หรือ ภูมิไวเกิน (hypersensitivity reaction) ทำให้มีการตอบสนองที่รุนแรงมากผิดปกติกับสารบางอย่าง เช่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ โลหะ ทำให้เกิดอาการในกลุ่มของโรคภูมิแพ้ (allergic disease) เช่น แพ้อากาศ หืดหอบ ไซนัสอักเสบจากภูมิแพ้ การแพ้ยาหรือแพ้อาหารทะเล เป็นต้น สิ่งแปลกปลอมที่ทำให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้นี้ เราเรียกว่า "allergen”
3. ระบบภูมิคุ้มกันทำงานสับสน ไม่สามารถแยกแยะแอนติเจนร่างกายออกจากแอนติเจนแปลกปลอม เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันเข้าจู่โจมและเข้าทำร้ายเนื้อเยื่อร่างกายทำให้เกิดเป็นโรคทางออโตอิมมูน (autoimmune) ขึ้นมาได้ ตัวอย่างของโรคเหล่านี้ได้แก่ โรคลูปัส โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ไข้รูมาติก ต่อมทัยรอยด์เป็นพิษ (ชนิด Graves’ disease) หรือโรคเบาหวานที่เกิดจากการทำลายเซลล์ของตับอ่อนที่หลั่งฮอร์โมนอินซูลิน เป็นต้น
การติดเชื้อและการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน
ในบรรดาโรคต่างๆของมนุษย์ โรคติดเชื้อนับเป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุด อาการที่เกิดจากการติดเชื้อมีตั้งแต่น้อยมาก เช่น โรคหวัด ไปจนถึงโรคที่อันตราย ทำให้เสียชีวิตทันที เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด ไข้สมองอักเสบ หรือทำให้เสียชีวิตแบบผ่อนส่ง เช่น การติดเชื้อ HIV และ โรคเอดส์ เป็นต้น
เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายได้จะต้องผ่านด่านคุ้มกันด่านแรกของร่างกาย คือ ผิวหนังและเยื่อบุซึ่งถือเป็นเครื่องกีดขวางทางกายภาพ (physical barriers) นอกจากนี้ยังต้องผ่านเครื่องกีดขวางที่มีคุณสมบัติทางเคมี (chemical barriers) ณ ที่แห่งนั้นด้วย เช่น น้ำตา น้ำลาย สารคัดหลั่งจากเซลล์เยื่อบุจมูก น้ำย่อย ซึ่งอาจมีอิมมูโนโกลบูลิน (ชนิด IgA) ปะปนอยู่
เมื่อเชื้อโรคสามารถผ่านด่านเหล่านี้ไปได้ จะต้องผ่านด่านระบบภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะซึ่งมักจะลาดตระเวนอยู่ในบริเวณนั้นเพื่อดักกินสิ่งแปลกปลอม ได้แก่ เซลล์มาโครฟาจน์ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวประจำถิ่น Natural Killer cells (NK cells) และโปรตีนคอมปรีเมนต์ ประมาณ 30-60 นาทีหลังจากนั้น เซลล์นิวโตรฟิลล์เม็ดจะเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวพวกแรกที่จะเดินทางมาถึงโดยลอดตัวผ่านออกทางรอยต่อของเซลล์บุผนังหลอดเลือดออกมาในเนื้อเยื่อ เพื่อจับเชื้อโรคกินและย่อยทำลาย หากเชื้อโรคมีจำนวนมากและยังถูกกวาดล้างไม่หมด ส่วนที่เหลือจะต้องเผชิญกับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะต่อไป โดยเซลล์มาร์โคฟาจน์บางตัวจะส่งสัญญาณต่อไปให้เซลล์ลิมโฟต์ที่เดินทางตามมาภายหลัง การตอบสนองแบบจำเพาะอาจเร็วหรือช้าต่างกันขึ้นกับว่าร่างกายเคยพบกับเชื้อจุลชีพชนิดนี้มาก่อนหรือไม่ หากเคยพบกันมาก่อนแล้วการตอบสนองจะรวดเร็วและรุนแรงกว่าการพบกันครั้งแรก การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะจะเป็นชนิดอิมมูนพึ่งเซลล์ (CMIR) หรือสร้างแอนติบอดี (HIR) จะขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อจุลชีพที่เข้าสู่ร่างกาย (ดูตาราง)
ประเภทของการติดเชื้อ | ระบบภูมิคุ้มกันหลักที่ใช้ในการตอบสนอง |
Bacteria | HIR (Ab, immune complex และ cytotoxicity) |
Mycobacterium | CMIR (DTH, granulomatous lesion) |
Virus | HIR (Ab neutralization) and CMIR (DTH / CTL) |
Progtozoa | CMIR (DTH) and HIR (Ab) |
Worms | HIR (Ab) and CMIR (granulomatous reaction) |
Fungal | CMIR (DTH and granulomatous reactions) |
Ab = antibody, DTH = delayed type hypersensitivity, TCTL = cytotoxic T-lymphocytes
การติดเชื้อแอบแฝง
มีเชื้อโรคบางชนิดซึ่งอาจเป็นไวรัสหรืแบคทีเรียจะอาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ยาวนานโดยไม่ถูกกำจัดออกจากร่างกาย ตัวอย่างเช่นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคสุกใสหรืองูสวัส และโรคเริม ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Herpes virus ภายหลังการติดเชื้อครั้งแรก เชื้อจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทอยู่ตลอดชีวิตของคนเรา และพร้อมที่จะก่อโรคได้ทันทีที่ CMIR ลดต่ำลง ทำให้เกิดโรคซ้ำซากเป็นๆหายๆโดยไม่ได้รับเชื้อเข้าไปใหม่แต่อย่างใด อีกโรคหนึ่งที่รู้จักกันดีคือวัณโรคปอด เชื้อวัณโรคจะซ่อนตัวและจำศีลภายในขั้วปอดของคนเราแม้จะกินยาจนครบและตรวจไม่พบรอยโรคจากภาพถ่ายรังสีแล้ว เมื่อใดที่ CMIR ลดต่ำลง เช่น ได้รับเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็ง เป็นโรคเบาหวาน เชื้อวัณโรคอาจกำเริบขึ้นได้ อีกตัวอย่างหนึ่งที่พบบ่อยคือการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด B แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เองในระยะเวลาหนึ่ง แต่บางรายจะกลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังหรือเป็นพาหะ ทำให้ตรวจพบเชื้อไวรัสตกค้างอยู่ในร่างกายได้เป็นระยะเวลานานๆโดยไม่ก่อให้เกิดอาการ
การติดเชื้อในลักษณะนี้เรียกว่าการติดเชื้อแอบแฝง ส่วนใหญ่เป็นผลจาก CMIR ลดต่ำลงหรือขาดประสิทธิภาพไม่สามารถกำจัดเชื้อจุลชีพให้หมดไปจากร่างกายได้ อย่างดีก็ทำได้เพียงควบคุมหรือคอยกำกับไม่ให้เชื้อมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นจนก่อให้เกิดอาการได้เท่านั้น
ปัจจัยที่มีส่งผลต่อประสิทธิภาพในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน
ประสิทธิภาพในการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในแต่ละคนจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับ
1.ปัจจัยทางพันธุกรรม การตอบสนองทางระบบภูมิคุ้มกันอยู่ภายใต้การควบคุมของยีนใน
กลุ่ม Histocompatibility antigens
2.อายุ เด็กเล็กและผู้สูงอายุมีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันด้อยกว่าคนหนุ่มสาว จึงเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่าย
3.ปัจจัยทางเมแทโบลิก ฮอร์โมนบางชนิดเช่นสเตียรอย์มีฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการกินสิ่งแปลกปลอมของ
เม็ดเลือดขาว ลดการสร้างแอนติบอดี คนที่กินยาในกลุ่มสเตียรอยด์จึงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง
4.ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม คนที่มีเศรษฐานะยากจนจะมีอัตราการเกิดโรคต่างๆสูงกว่าคนที่มีความเป็นอยู่ดี
ทั้งนี้เนื่องจากสาเหตุหลายประการรวมทั้งการขาดสารอาหาร
5.ลักษณะทางกายวิภาค ความผิดปกติของผิวหนังและเยื่อบุ เช่น ผิวหนังมีแผลพุพองอักเสบ แผลไฟไหม้
จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่าย
6.ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเชื้อจุลชีพ จุลชีพประจำถิ่น (normal flora) ที่อาศัยอยู่ในลำไส้จะช่วยยับยั้ง
การเจริญเติบโตของเชื้อจุลชีพก่อโรค ถ้าเชื้อจุลชีพประจำถิ่นถูกทำลาย เช่นได้รับยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่อง
เชื้อจุลชีพก่อโรคจะทวีจำนวนขึ้นก่อให้เกิดโรคได้
7.ลักษณะทางสรีระ ตัวอย่างเช่น ความเป็นกรดของน้ำย่อยในกะเพาะอาหาร ขนอ่อน (cilia)
ที่คอยโบกพัดบริเวณผิวเยื่อบุหลอดลม การไหลของน้ำปัสสาวะ ถ้าสิ่งที่กล่าวมาผิดปกติ
เชื้อจุลชีพจะเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
ผลของการออกกำลังกายต่อระบบภูมิคุ้มกัน
จากการสังเกตพบว่า หลังการฝึกหนักหรือออกกำลังกายจนอ่อนล้า อุบัติการณ์ของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบนจะเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าให้ออกกำลังกายหนักปานกลางอุบัติการณ์ของการติดเชื้อกลับลดลง แสดงว่าการออกกำลังกายน่าจะมีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโดยอาจทำให้ดีขึ้นหรือเลวลงก็ได้
มีการศึกษาที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกันกับการออกกำลังกายอยู่หลายประเด็น แต่ส่วนใหญ่เป็นการทดสอบในห้องปฏิบัติการซึ่งยังไม่ทราบว่าจะมีผลจริงๆในทางคลินิกหรือไม่ และข้อมูลที่ได้จากการศึกษาก็ยังให้ผลไม่ตรงกันเนื่องจากโปรแกรมการออกกำลังกายที่ใช้ในการศึกษามีความหลากหลาย แตกต่างกันทั้งประเภท ความหนัก และระยะเวลาในการออกกำลังกาย นอกจากนี้ในมนุษย์ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ควบคุมได้ยาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อการทำงานต่อระบบภูมิคุ้มกันได้ ตัวอย่างเช่น อารมณ์ ความเครียด อาหาร พันธุกรรม และสภาวะแวดล้อมทางสังคม อย่างไรก็ตามจากผลการศึกษาที่ผ่านมาพอสรุปได้ดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกันภายหลังการออกกำลังกายชนิดแอโรบิกทันที (acute immune response to aerobic exercise) ถ้าให้ออกกำลังกายติดต่อกันหลายชั่วโมง การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันจะลดลงชั่วคราว โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของ NK cells การแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ลิมโฟซัยต์ การหลั่งโปรตีนอิมมูโนโกลบูลินชนิด IgA (ซึ่งมีอยู่ในสารคัดหลั่งตามเยื่อบุทางเดินหายใจและลำไส้) ดังนั้น ภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียจะลดลงชั่วคราวเมื่อเสร็จสิ้นการออกกำลังกายทันที แต่จะกลับมาเป็นปกติได้ในเวลาหลายชั่วโมงหลังจากนั้น
2. การเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกันในพวกที่ออกกำลังกายประจำ (effect of chronic exercise on immune system) พบว่าการออกกำลังกายประจำสามารถเพิ่มการทำงานของ NK cells ได้ แต่ผลต่อเซลล์ลิมโฟซัยต์ตัวอื่นๆนั้นไม่แน่นอน ทั้งนี้รวมถึงหญิงสูงอายุและคนอ้วนปานกลางที่เข้าโปรแกรมการออกกำลังกายโดยการเดินบนลู่วิ่งหรือปั่นจักรยานอยู่กับที่เป็นระยะเวลาที่นานพอ (4 เดือนขึ้นไป) แต่ถ้าออกกำลังกายในระยะเวลาที่สั้นกว่านี้จะเห็นผลได้ไม่ชัดเจน
ผลของการออกกำลังกายในคนที่กำลังมีการติดเชื้อไวรัส
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะลดอุบัติการณ์ของการเป็นหวัดได้ แต่ขณะที่กำลังเป็นหวัดหรือติดเชื้อไวรัสไม่ควรออกกำลังกายที่หนัก การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ลดลงชั่วคราวภายหลังจากออกกำลังกายทันที อาจส่งผลทำให้การติดเชื้อรุนแรงขึ้น ตัวอย่างเช่น ขณะที่มีการติดเชื้อไวรัสโปลิโอ การออกกำลังกายจะส่งผลทำให้การเกิดอัมพาตรุนแรงขึ้น หรือระหว่างที่ติดเชื้อไวรัส Coxsackie B การออกกำลังกายจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบรุนแรงขึ้นหรือตายได้ทันที
แนวการปฏิบัติ: ถ้าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดาโดยไม่มีไข้ ปวดหัว หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ควรพัก 2-3 วัน เมื่อดีขึ้นค่อยออกกำลังกายต่อได้ ระหว่างพักอาจออกกำลังกายเบาๆได้ แต่ถ้ามีไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลืองโตควรพัก 2-4 สัปดาห์ ก่อนจะอนุญาตให้กลับไปออกกำลังกายหนักเหมือนเดิม
การออกกำลังกายในผู้ติดเชื้อHIV/AIDS
จากการทบทวนแบบ meta-analysis พบว่าผู้ป่วย HIV/AIDS ที่อาการคงที่ (clinically stable) สามารถออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัยทั้งชนิดที่เป็น progressive resistive exercise (เช่น การยกน้ำหนัก) และการออกกำลังกายชนิดแอโรบิก ผลของการออกกำลังกายต่อเนื่องกัน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 4 สัปดาห์ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น น้ำหนักตัวและสัดส่วนของร่างกายดีขึ้น เพิ่มความแข็งแรงของปอดหัวใจและหลอดเลือด สุขภาพจิตดีขึ้น
การออกกำลังกาย การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน กับการเกิดโรคมะเร็ง
กว่า 50 ปีแล้ว (1959) ที่เชื่อว่าการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ลดลงอาจทำให้เกิดโรคมะเร็ง จากนั้นจึงมีการพัฒนาทฤษฎีของ immune surveillance ขึ้นมา แม้ว่าความเชื่อดังกล่าวจะหยุดชะงักลง แต่จากการสังเกตและการศึกษาในสัตว์ทดลองก็ยังสนับสนุนความคิดนี้อยู่ และข้อมูลล่าสุดก็พบว่าระบบภูมิคุ้มกันร่างกายนั้นมีบทบาทต่อการเกิดโรคมะเร็งที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส หลักฐานที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันคือตัวอย่างของผู้ป่วยโรค AIDS ที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด non-Hodgkin’s lymphoma และ Kaposi’s sarcoma, มะเร็งบริเวณรูทะวารหนัก (anal cancer) และมะเร็งปากมดลูก (cervical cancer) ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสทั้งสิ้น และยังมีเนื้องอกอีกหลายชนิดที่เชื่อมโยงกับการติดเชื้อได้เช่น Kaposi’s sarcoma ที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส Herpes virus type 8 หรือมะเร็งกระเพาะอาหารที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อ Helicobacter pylori
เมื่อพบว่าการออกกำลังกายหนักปานกลางสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติได้ก็น่าจะช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ ขณะที่การออกกำลังกายอย่างหนักและหักโหมอาจเพิ่มความเสี่ยงเนื่องจากมีผลกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาที่สามารถพิสูจน์ความคิดนี้ได้จริงๆ เคยมีการทำการศึกษาเปรียบเทียบเพื่อดูการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด Non-Hodgekin’s lymphoma ในหญิงที่มีการใช้แรงงานมากจากการประกอบอาชีพ แต่ผลการศึกษาก็ยังไม่ชัดเจนและสรุปไม่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น